วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ท้องผูกเป็นประจำ ลองส่องกล้องกระเพาะอาหารดูมั้ย

ส่องกล้องกระเพาะอาหาร


ส่องกล้องกระเพาะอาหาร
ส่องกล้องกระเพาะอาหารการส่องกล้องเป็นเทคนิคพิเศษของการตรวจระบบทางเดินอาหารทั้งส่วนต้นและส่วนปลาย ซึ่งทางเดินอาหารประกอบไปด้วยหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
ชนิดการส่องกล้องทางเดินอาหาร
    การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น (upper GI endoscopy) ลักษณะเครื่องมือมีลักษณะยาวๆเล็กๆ มีกล้องขนาดเล็กและหลอดไฟติดอยู่ส่วนปลาย ภาพจะปรากฏที่จอโทรทัศน์ แพทย์สามารถมองรายละเอียดของทางเดินอาหารตั้งแต่ส่องกล้องผ่านหลอดอาหาร ส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    จะเจ็บมากไหม? เนื่องจากก่อนใส่อุปกรณ์ แพทย์จะให้ยานอนหลับทำให้ผู้ที่ได้รับการตรวจจะไม่รู้สึกเจ็บในขณะตรวจและหลังการตรวจ

    ก่อนการส่องกล้องกระเพาะอาหาร แพทย์จะแนะนำให้งดน้ำและอาหารก่อน 6-8 ชม.


    วิธีการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น แพทย์จะใส่อุปกรณ์เข้าทางปาก ผ่านหลอดอาหารเพื่อส่องกล้องกระเพาะอาหาและลำไส้เล็กส่วนต้น ระหว่างใส่อุปกรณ์ แพทย์จะเห็นภาพของอวัยวะต่างๆทางจอโทรทัศน์ หากพบก้อนเนื้อผิดปกติก็จะตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ และหากพบแผลหรือจุดที่มีเลือดออกก็อาจจะทำการรักษาโดยการจี้เพื่อหยุดเลือด
    วิธีการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนปลาย เป็นการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ลักษณะเครื่องมือเป็นท่อขนาดเล็กปลายมีกล้องมีเลนส์ขยายภาพโค้งงอได้ โดยจะส่องตรวจผู้ที่มีอาการดังนี้
      ท้องผูกเป็นประจำหรือท้องผูกสลับกับท้องเสีย
      ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
      เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระมีติ่งเนื้อยื่นทางทวารหนัก
      ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้อง
      คลำพบก้อนในท้อง น้ำหนักลด
      ตัวซีด มีอาการอ่อนเพลีย
      อายุเกิน 50ปี ควรจะตรวจสุขภาพทุกๆ3-5ปี

หมอหัวใจเก่งๆคนหนึ่งที่รักษาโรคหัวใจมือ1 ของ รพ.พญาไท เลิกรักษาคนเพราะอะไร

 หมอหัวใจเก่ง มือหนึ่งของ รพ.พญาไท 

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงานที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROASPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22 ประเทศ และมีระยะติดตามดูนานถึง12 ปี คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น 20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ

“..วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn เขาเป็นหมอทางด้านผ่าตัดต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมดกลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้ ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้ คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้วถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์ ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้ เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบและเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้ ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสีหลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจเก่งผมกลับไม่ทราบเลย เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้ แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่าหลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้ มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกันที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่ามันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish เขาเป็นหมอหัวใจเก่ง เขาได้ทำงานวิจัยที่เอาไข้โรคหัวมาเกือบร้อยคนจับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่ (1) ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน (2) ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง (3) ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า 

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงละ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14 มิล ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวานเข้า งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRG เขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้ครับ
กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93% ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง  แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง มันคนละเรื่องแล้ว  แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์

ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้ และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35% มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ อ้าว..เอาอีกแล้วผม เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว
 มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง
ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์
เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย

ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดินไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่าelliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า.. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น เพราะเรื่องอื่นไม่สำคัญเท่า ฟันก็ไม่ต้องแปรง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายก็ไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะฟันไม่ได้แปรงจะออกจากบ้านได้ยังไง มีบางวันที่ผมทะเลาะกับตัวเองแบบนี้จริงๆ คือ
“..วันนี้ต้องรีบแปรงฟัน เพราะจะไปประชุมแต่เช้า”
“..ไม่ได้ เอ็งยังแปรงฟันไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ออกกำลังกาย”
“..จะบ้าเหรอ”
“..ไม่บ้าหรอก เราคุยกันแล้วนะ ว่าจะทำเรื่องสำคัญก่อน”
ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสียไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มไม้เต็มมือ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือ Family Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย ทั้งในรูปแบบพบกันแบบ face to face ที่คลินิก เขียนบล็อกสอนคนทั่วไปทางอินเตอร์เน็ท เขียนหนังสือสุขภาพ ทำรายการทีวี. เปิด Health Camp ที่มวกเหล็กเพื่อสอนเรื่องสุขภาพ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ทำไมหมอหัวใจเก่ง จึงมีผลต่อการรักษา

หมอหัวใจเก่ง มีผลต่อการรักษา
โรคหัวใจเป็นโรคที่กระทรวงสาธารณะสุขสำรวจพบว่าคนไทยมีความเสี่ยงเป็นอันดับ 1 หากผู้ป่วยนั้นได้รับการตรวจโรคหัวใจอย่างแม่นยำก็จะทำให้เกิดการรักษาที่ตรงจุด นอกจากนั้นจะต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษา เนื่องจากการรักษาโรคหัวใจนั้นมีความอันตรายและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
นอกจากหมอหัวใจเก่ง พญาไทยังมีติดตามการรักษาทุกขั้นตอน
ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล และดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจทั้งด้านอายุรกรรมและศัลยกรรม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างครบวงจร มีทีมแพทย์อายุรกรรมหัวใจและศัลยแพทย์หัวใจ ประจำตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีทีมพยาบาล ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจโดยเฉพาะอีกด้วย และครบครันด้วยอุปกรณ์ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีการนำนวัตกรรมในการผ่าตัดหัวใจแผลเล็ก การผ่าตัดแบบ Off pump การปิดรูรั่วในหัวใจด้วยร่ม(โดยไม่ต้องผ่าตัด) มาใช้รักษาผู้ป่วย ส่งผลให้ผลการรักษาและการฟื้นตัวของผู้ป่วยเร็วขึ้น
ข้อดีของการเข้ารับการรักษาโรคหัวใจที่พญาไท
    ทีมหมอหัวใจเก่งมีความเชี่ยวชาญในการรักษาเฉพาะทาง
    มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย
    มีเครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ
    มีห้องปฏิบัติการผ่าตัดหัวใจที่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์อันทันสมัย
    มีห้องสำหรับผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ (CCU) ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์อย่างครบครัน
    มีแผนกผู้ป่วยโรคหัวใจอย่างครบครันได้แก่ แผนกผู้ป่วยนอก แผนกตรวจสวนหัวใจ แผนกผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ แผนกผ่าตัดหัวใจ แผนกฟื้นฟูและควบคุมปัจจัยเสี่ยง
    มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ให้ความอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน
ศูนย์หัวใจที่ดีนอกจากมีหมอหัวใจเก่งแล้วยังต้องมี 4H’s
เพราะหัวใจมีความสำคัญที่สุด จึงต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ทางโรงพยาบาลพญาไทจึงได้จัดตั้งศูนย์หัวใจ หรือ Health Heart Center ที่มีความพร้อมทางการรักษา เพื่อให้การดูแลรักษาอย่างทันท่วงที โดยโรงพยาบาลมั่นใจว่า ด้วยแนวคิด 4H’s หัวใจทุกดวงที่ก้าวเข้ามาที่ศูนย์โรคหัวใจแห่งนี้ จะได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
    Heart Service ความพร้อมเพื่อการบริการแบบฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงเพราะอาการเฉียบพลันอันเกิดจากโรคหัวใจต้องการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วน ศูนย์หัวใจ จึงมีบริการรถฉุกเฉินหัวใจ โดยแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง พร้อมอุปกรณ์การแพทย์ เช่นเครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ ทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
      Heart Coordinator พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง และ Heart Hotline ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวตั้งแต่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลจนถึงการฟื้นฟู รวมถึงโทรศัพท์ติดตามเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อติดตามผล และให้ความรู้ในการดูแลตนเองและป้องกันไม่ให้กลับเป็นโรคเดิมอีก
      Cath Lab Stand by ห้องปฏิบัติการสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ stand by เพื่อให้การรักษาคนไข้ที่มีอาการเฉียบพลัน สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที คือสามารถเปิดห้องปฏิบัติการนี้ภายใน 30 นาที

    Heart Doctor ทีมแพทย์เฉพาะด้านหัวใจชั้นนำระดับประเทศ ที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการป้องกันดูแลรักษาและฟื้นฟู ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการป้องกันดูแล รักษา และฟื้นฟู อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และปลอดภัย โดยเชื่อมั่นว่า ที่นี่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์โรคหัวใจอันดับหนึ่งของเอเชีย ศูนย์หัวใจพญาไท ฮาร์ทเซ็นเตอร์ ให้ความสำคัญของการป้องกันเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงการออกกำลังกาย ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังบริการรถฉุกเฉินหัวใจ สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคหัวใจ พร้อมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อความปลอดภัยและการดูแลรักษาที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ นำทีมโดยนพ.ณัฐนันทน์ ประศาสน์สารกิจ แพทย์หัวหน้าศูนย์หัวใจพญาไท 2 และ นพ.อมร จงสถาพงษ์พันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการสวนหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจ
    Heart Imaging การใช้เทคโนโลยีรังสีวิทยาในการวินิจฉัยโรค ด้วย MRI, CT-Scan, Cath Labการตรวจรักษาอวัยวะที่อยู่ด้านใน ร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจนั้น การมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรค จะทำให้การตรวจรักษามีความแม่นยำ ในทุกขั้นตอน ซึ่งทางศูนย์โรคหัวใจพญาไท1 ได้ให้ความสำคัญในการลงทุนนำเทคโนโลยีรังสีวิทยา มาใช้ ทำให้ผู้เข้ามารับการรักษามีความสบายใน และมั่นใจมากที่สุด
    Heart Rehab การฟื้นฟูหัวใจ จะช่วยให้ผู้เป็นโรคหัวใจกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ทำงานได้ตามปกติ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย และช่วยลดภาวะเสี่ยงในผู้ทีมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
     ที่มา http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/4/841/th

วิธีการรักษาไซนัสอักเสบ

ไซนัส Sinusitis

​ไซนัสเป็นอวัยวะซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงอากาศในกะโหลก มีทั้งหมด 4 ตำแหน่ง ได้แก่
  • บริเวณหน้าผากใกล้หัวคิ้ว 2 ข้าง (frontal sinus) 
    • บริเวณหัวตา 2 ข้าง (ethmold sinus)
    • บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง (maxillary sinus)
    • บริเวณกะโหลกศีรษะใกล้ฐานสมอง (sphenoid sinus)
  • ไซนัสอักเสบเกิดจากอะไร

    ไซนัสอักเสบ (sinusitis) เกิดขึ้นเมื่อจมูกมีการติดเชื้อจากหวัดหรือภูมิแพ้ มีสารระคายเคืองแปลกปลอมอยู่ในจมูก ทำให้เยื่อบุจมูกบวมส่งผลให้รูเปิดไซนัสเกิดการอุดตันจนเกิดการคลั่งสะสมของเชื้อโรคและน้ำเมือกในโพรงไซนัส ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบขึ้น

    อาการไซนัสอักเสบเป็นอย่างไร

  • ไอเรื้อรัง, หวัดเรื้อรัง, หูอื้อ
    • มีอาการคัดจมูกข้างใดข้างหนึ่งเรื้อรัง
    • พูดเสียงขึ้นจมูก
    • มีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บคอ มีเสมหะเหลืองหรือเขียวในลำคอ
    • หายใจมีกลิ่นเหม็นคาว
    • ปวดมึน ๆ หนัก ๆ ตรง บริเวณหัวตา หน้าผากโหนกแก้มหรือรอบ ๆ กระบอกตา
    • มีความรู้สึกคล้ายกับปวดฟันบริเวณขากรรไกรบน อาการปวดมักเป็นมากในเวลาก้มหน้า
  • วิธีการรักษาไซนัสอักเสบนั้นมีทั้งหมด 2 วิธีหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่

    1. การรักษาไซนัสด้วยการใช้ยา ในกรณีที่คนไข้มีอาการที่ไม่รุนแรงมากนัก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งการรักษาตามอาการของคนไข้
    2. การรักษาด้วยการผ่าตัด ในกรณีที่คนไข้มีอาการที่รุนแรงเรื้อรังมาก แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยทางโรงพยาบาลพญาไท 1 ของเรานั้นมีความชำนาญในการรักษาด้วยการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ หรือ FESS (Functional Endoscopic Sinus Surgery)
    การผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่ หรือ FESS นั้น เป็นผ่าตัดเปิดโพรงไซนัสทั้งหมดให้เชื่อมต่อเข้าหากัน ซึ่งการผ่าตัดต่อโพรงไซนัสเข้าหากันนั้นทำให้สามารถพ่นยาและน้ำเกลือเข้าไปทำความสะอาดในโพรงไซนัสได้อย่างทั่วถึง และลดโอกาสของการกลับมาเป็นไซนัสอักเสบอีกครั้งได้สูงมากกว่าการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องแบบดั่งเดิม การผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่นี้จะต้องทำโดยศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาก เนื่องจากโพรงไซนัสแต่ละโพรงนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สมองส่วนล่างและกระบอกตา หากแพทย์ผู้ผ่าตัดไม่มีความชำนาญมากพอก็อาจเกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการผ่าตัดได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อคนไข้เป็นอย่างมาก

    ข้อดีของการผ่าตัดไซนัสแบบผ่านกล้องเทคนิคใหม่ (FESS / Functional Endoscopic Sinus Surgery)

    1. สามารถพ่นยาและทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือในโพรงไซนัสได้อย่างทั่วถึง
    2. ลดโอกาสของการกลับมาเป็นไซนัสอักเสบได้สูงมากกว่าการผ่าตัดไซนัสผ่านกล้องแบบดั่งเดิม

    การดูแลหลังผ่าตัดไซนัสผ่านกล้องเทคนิคใหม่ (FESS)

    1. หลังจากวันผ่าตัด 2 วัน ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือวันละ 2 ครั้ง
    2. ห้ามสั่งน้ำมูกแรงๆ
    3. ห้ามดื่มสุราหรือสูบบุหรี่

    สัญญาณเตือนมนุษย์วัยทำงาน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

    คำแนะนำจากคุณหมอ เกี่ยวกับ​โรคกระดูกทับเส้นประสาทที่เป็นเรียกทางการแพทย์ว่า Lumbar Stenosis หรือช่องกระดูกสันหลังตีบแคบจากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมหรือภาษาชาวบ้านเราเรียกว่า "กระดูกทับเส้น" ทำให้มีอาการชาที่ขา 2 ข้าง ร่วมกับมีอาการอ่อนแรง ต้องระมัดระวังเรื่องการล้มให้มากที่สุด เพราะเวลาเดินการทรงตัวจะทำได้ไม่สมดุลย์เกิดการลื่นล้มทำให้เกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรง คือ กระดูกหักตามมาได้ครับ การผ่าตัดใช้วิธีการขยายช่องโพรงสันหลังระดับเอว ค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายประมาณ 130,000 บาทครับ ถ้าหากเป็นข้าราชการยังไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ สำหรับโรคทางกระดูกที่สามารถเบิกหรือใช้สิทธิ์ข้าราชการเบิกจ่ายบางส่วนในโรงพยาบาลเอกชน ได้แก่ 1. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม 2. การเปลี่ยนข้อตะโพกแบบทั้งหมด และ 3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อตะโพกแบบบางส่วนครับ
    หมอนรองกระดูกสันหลัง เป็นอวัยวะที่คั่นอยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ มีลักษณะเหนียวและยืดหยุ่น มีหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย และรองรับแรงกระแทก
    เส้นประสาทไขสันหลังอยู่ในโพรงประสาทไขสันหลัง มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายและควบคุมการเกิดรีเฟล็กซ์ เช่น ชักขาออกทันทีเมื่อเหยียบตะปู เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับจะทำให้สูญเสียการทำงานของอวัยวะนั้นๆ เช่น กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง และชา หรือปวดในตำแหน่งที่ถูกกดทับ
    สาเหตุของหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
    1. อายุมากขึ้นเกิดการเสื่อมตามวัย หมอนรองกระดูกเหี่ยวบางลง ความเหนียวและยืดหยุ่นลดลง เอ็นรอบๆข้อกระดูกสันหลังหลวมมากขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนและปริแตกของหมอนรองกระดูกได้ง่าย
    2. เกิดจาการใช้งานหนัก จากการเล่นกีฬา ยกของหนัก นั่งผิดท่า เป็นต้นทำให้ เสื่อมสภาพจากการใช้งาน
    3. เกิดจากอุบัติเหตุ กระแทกรุนแรง
    อาการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ
    อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทระดับคอ
    • มีอาการปวดต้นคอ
    • ปวดร้าวลงไหล่แขน มือมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและชา ทำให้หยิบจับของได้ลำบาก
    อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทระดับเอว
    • มีอาการปวดหลัง
    • ปวดสะโพกร้าว ลงขา
    • บางรายมีอาการอ่อนแรงและชาของกล้ามเนื้อขาและเท้า ทำให้เดินลำบาก
    การวินิจฉัยของแพทย์
    • ตรวจร่างกาย
    • เอกซเรย์
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT - spine)
    • เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI - spine)
    การรักษาโรคหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
    1. การรักษาด้วยยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ
    2. การทำกายภาพบำบัด และการบริหารกล้ามเนื้อ หลัง ท้อง หรือคอ
    3. การผ่าตัด เพื่อเอาหมอนรองกระดูกส่วนที่ปริ ยื่นทับเส้นประสาทออก หรือ เอาหมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพออกแล้วใส่หมอนรองกระดูกเทียม การผ่าตัดมี 2 วิธี
    1. ผ่าตัดแบบเปิดแผลยาว แผลผ่าตัดยาวประมาณ 10 ซม.
    2. ผ่าตัด ส่องกล้องแผลเล็ก เรียกว่า minimally invasive spine surgery
    แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดก็ต่อเมื่อ การรักษาด้วยยาและกายภาพบำบัดไม่ได้ผล ไม่สามารถลดอาการปวดหลังได้ และมีภาวะของหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
    การผ่าตัดแบบ Minimally Invasive
    หลักการของการผ่าตัดแบบนี้คือ เปิดแผลให้เล็กที่สุด แต่ยังคงมีประสิทธิภาพของการผ่าตัด โดยเฉพาะความปลอดภัยของผู้ป่วย ลดการทำลายเนื้อเยื่อใกล้เคียง
    อุปกรณ์ที่สำคัญของการผ่าตัด คือ กล้อง Microscope ที่มีกำลังขยายสูงมาก ทำให้แพทย์เห็นรายละเอียดได้ชัดเจนกว่ามองด้วยตาเปล่า และ Navigator เป็นเครื่องมือใช้สำหรับคำนวณพิกัดของกระดูกสันหลัง แสดงภาพ 3 มิติ แพทย์จะสามารถวางแผนการผ่าตัดได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น ส่วนเครื่องมืออื่นๆ ทั่วไป ได้แก่ เครื่องตัด เครื่องดูด และเลเซอร์ เป็นต้น
    การผ่าตัด แพทย์จะวางยาสลบ หรือบล็อกหลังทำความสะอาดผิวหนัง จากนั้น จะกรีดแผลเล็กๆ 2 – 3 ซม. บริเวณหลังหรือคอขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะผ่าตัด ใส่ท่อขนาดเล็กลงไปผ่านทางรูที่เจาะไว้ แพทย์จะใส่เครื่องมือต่างๆ ลงไปในท่อและทำการผ่าตัด หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์จะนำท่อและอุปกรณ์ทั้งหมดออก
    1. ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหลัง หรือคอ
    2. ขณะผ่าตัดเสียเลือดน้อย
    3. แผลเล็ก 2 – 3 ซม.
    4. การฟื้นตัวไว พักฟื้นที่โรงพยาบาล น้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแผลยาว
    5. เสี่ยงต่อการติดเชื้อของแผลน้อยกว่า
    ที่มา 
    http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/7/832/th

    โรคลมชัก (ลมบ้าหมู)โรคอันตรายที่ไม่ควรตั้งครรภ์

        อุปสรรคในการตั้งครรภ์อย่างหนึ่งที่สาวๆ หลายคนไม่รู้ ไม่แน่ใจ นั่นก็คือ การมีโรคประจำตัวหรือเป็นโรคบางอย่างขณะที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งโรคเหล่านั้น อาจส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ น้อยบ้าง มากบ้าง หรือรุนแรงถึงขั้นทำให้ทารกเสียชีวิตได้  สาวไม่โสดแล้วคนใดอยากมีลูกไว้สืบเชื้อสาย แต่ยังไม่แน่ใจในโรคที่ตัวเองเป็นอยู่  ลองมาดูซิว่าโรคอันตรายที่ไม่ควรตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง

    โรคลมชัก (ลมบ้าหมู)

        โรคลมบ้าหมูนี้เกิดจากการมีแผลในสมอง มักมีอาการชักและหมดสติชั่วครู่ ทำให้ขาดออกซิเจนชั่วคราว ดังนั้นหากคุณแม่เป็นโรคนี้และเกิดอาการดังกล่าว แน่นอนว่าต้องมีผลต่อการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงทารกในครรภ์ คุณแม่ต้องรับยาควบคุมการชัก จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนคิดตั้งครรภ์

    โรคหัวใจ

        ขึ้นชื่อว่า “โรคหัวใจ” เป็นอันรู้กันว่าเป็นจุดเสี่ยงสูงสุด แต่ความเสี่ยงนั้นมากน้อยตามความรุนแรงของโรค ลักษณะของโรคหัวใจที่ทำให้การตั้งครรภ์ไม่ปลอดภัย มักมาจากการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจในคุณแม่ที่เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว และมาจากการที่มีผนังกั้นห้องหัวใจมีรูโหว่  ซึ่งลูกในครรภ์อาจได้รับอันตรายจากการติดเชื้อนั้น  และเป็นไปได้ที่ลูกอาจพิการจากยาละลายลิ่มเลือดที่แม่กินประจำ รวมทั้งคุณแม่ก็อาจเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้ โดยเฉพาะในระยะครึ่งหลังของอายุครรภ์ จะมีปริมาณเลือดไหลเวียนเพิ่มขึ้นถึง 40% ซึ่งจะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น

    โรคเอดส์

        ถือเป็นโรคที่อันตรายมากอีกโรค เพราะยังไม่มียารักษา สาวใดที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรมีลูกเลย  แต่หากคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วตรวจพบเชื้อ HIV ขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ สามารถปรึกษาแพทย์ถึงการทำแท้งหรือเลือกเก็บลูกไว้ต่อไปได้ กรณีเลือกเก็บลูกไว้ คุณหมอจะให้ยาต้านไวรัส HIV เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ซึ่งจะช่วยลดโอกาสติดเชื้อจากแม่ได้ราว 30% เท่านั้น

    โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง

        เช่น โรคเลือดจาง (ธาลัสซีเมีย)  โรคเลือดไหลไม่หยุด (ฮีโมฟิเลีย) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง และโรคอื่นๆ ที่ถ่ายทอดความผิดปกติไปยังลูก อาจทำให้เด็กเสียชีวิตในครรภ์ได้  โดยเฉพาะธาลัสซีเมีย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ แต่ยีนผิดปกติที่แฝงตัวอยู่จะทำให้เม็ดเลือดแดงลดน้อยลงหรือไม่สร้างเลย ทารกที่เป็นโรคนี้จึงอาจเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ หรือคลอดแล้วเสียชีวิต บางรายเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อยๆ ส่วนในรายที่รอดชีวิตไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ก็จะสามารถถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมนี้ไปยังลูกหลานได้ต่อๆ ไป

    โรคติดเชื้อบางโรค

        โดยเฉพาะหัดเยอรมัน  ไวรัสตับอักเสบบี  และซิฟิลิส  แต่หัดเยอรมันกับไวรัสตับอักเสบบีสามารถฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเป็นโรคได้ แต่หากคุณแม่เป็นหัดเยอรมันขณะท้อง ทารกจะเสี่ยงพิการ เช่น หัวใจพิการ  หูหนวก ฯลฯ  ถ้าคุณแม่เป็นไวรัสตับอักเสบบี ลูกในครรภ์อาจได้รับเชื้อด้วย และทารกบางคนอาจเป็นโรคตับแข็งได้เมื่อโตขึ้น  ส่วนซิฟิลิสนั้น ถ้าตรวจพบขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่เกิน 5 เดือน สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากหลังจากนั้น เชื้ออาจทำให้ทารกเกิดความพิการต่างๆ  อาจคลอดก่อนกำหนด  แท้ง หรือทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์

    วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

    ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก

    ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก

    Minimally Invasive Surgery Center   ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก

                    ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก โรงพยาบาลพญาไท 2  จัดตั้งขึ้นเพื่อมาเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ป่วย ที่มีปัญหาทางศัลยกรรมโดยในการผ่าตัดด้วยการส่องกล้องมีข้อดีดังนี้

                    1.   Pain 
                           อาการปวด Patients typically experience less pain with minimally invasive procedures (MIPs) than with conventional surgical procedures ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังผ่าตัดด้วยการส่องกล้องน้อยกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิมมากเนื่องจากขนาดของแผลมีขนาดแตกต่างอย่างชัดเจนทำให้มีความเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยลงมาก

                    2.   Recovery การฟื้นตัวหลังผ่าตัด
                          Because the size of incisions in MIPs are much smaller than in conventional procedures ,recovery time is often much shorter. เนื่องจากแผลที่เกิดจากการผ่าตัดส่องกล้องมีขนาดเล็ก ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็วและกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม

                    3.   Hospital stay ระยะเวลานอนโรงพยาบาล
                          The length of hospital stay is typically much shorter with MIPs, and return to normal activities us frequently faster. เนื่องจากแผลผ่าตัดเล็กทำให้การฟื้นตัวเร็ว จึงส่งผลให้สามารถลดระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลได้มาก ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลลดลง


                    4.   Scarring แผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัด
                          Smaller incisions with MIPs mean less scarring เนื่องจากแผลผ่าตัดที่เกิดจากการส่องกล้องมีขนาดเล็กทำให้โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นก็จะมีน้อยไปด้วยและถึงแม้จะเกิดการตกแต่งแก้ไขก็ทำได้ง่ายกว่า





    ศัลยภาพของศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก


                    1.   Laparoscopic Cholecystectomy       การผ่าตัดส่องกล้องนิ่วในถุงน้ำดี
                    2.   Laparoscopic Herniorrhaohy            การผ่าตัดส่องกล้องแก้ไขภาวะไส้เลื่อน
                    3.   Laparoscopic Appendectony             การผ่าตัดส่องกล้องไส้ติ่งอักเสบ
                    4.   Laparoscopic Colectomy                   การผ่าตัดส่องกล้องเนื้องอกลำไส้ใหญ่
                    5.   Laparoscopic Fundoplication            การผ่าตัดส่องกล้องแก้ไขการเลื่อนของกระเพาะอาหารไปในทรวงอก
                    6.   Laparoscopic Bariatic Surgery          การผ่าตัดส่องกล้องลดความอ้วน
                    7.   Laparoscopic Adrenalectomy            การผ่าตัดส่องกล้องต่อมหมวกไต
                    8.   Laparoscopic High Ligation of Varicocoele      การผ่าตัดส่องกล้องเส้นเลือดขอดในช่องท้อง
                    9.   Laparoscopic Nephrectomy               การผ่าตัดส่องกล้องของไต
                    10. Laparoscopic Prostatectomy             การผ่าตัดส่องกล้องตัดต่อมลูกหมาก 

    เด็กหลอดแก้วความหวังของคนอยากมีลูก2015

    “เด็กหลอดแก้ว” ความหวังของผู้ที่มีบุตรยาก

    “เด็กหลอดแก้ว” ความหวังของผู้ที่มีบุตรยาก

    เด็กหลอดแก้วคืออะไร

           เด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertillization , IVF) คือการใช้เทคโนโลยี ช่วยการเจริญพันธุ์ สำหรับคู่สมรสที่มีบุตรยาก ด้วยการนำไข่ และอสุจิมาผสมกันให้มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยทำในห้องปฏิบัติการเพื่อให้เกิดตัวอ่อนแล้วนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อให้ฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ต่อไป

       การทำเด็กหลอดแก้วเหมาะกับคู่สมรสที่มีปัจจัยที่ส่งผลให้มีบุตรยาก ได้แก่

       - ฝ่ายหญิง มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ท่อนำไข่อุดตันหรือถูกทำลาย มีภาวะไม่ตกไข่หรือไข่ตกช้า       เนื่องจาก   ภาวะหรือโรคบางอย่างที่ทำให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติไป
       - ฝ่ายชาย มีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของอสุจิ ได้แก่ จำนวนน้อย รูปร่างผิดปกติ เคลื่อนที่ไม่ดี เป็นต้น

      ก่อนดำเนินการทำเด็กหลอดแก้ว

        -  คู่สมรสต้องได้รับการตรวจหาสาเหตุต่างๆของการมีบุตรยาก เช่น ฝ่ายชายต้องตรวจน้ำเชื้ออสุจิ ถ้าสูบบุหรี่ควรงด ส่วนฝ่าย หญิงต้องได้รับ ตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก อัลตร้าซาวด์ เพื่อหาความผิดปกติที่อาจมีผลต่อความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว ถ้าพบความผิดปกติ ต้องทำการรักษาก่อนเช่นถ้าอ้วน แพทย์แนะนำให้ควบคุมน้ำหนัก
       - คู่สมรสจะได้รับคำอธิบายให้เข้าใจ ถึงขั้นตอนการทำ อัตราความสำเร็จและความเสี่ยงของการทำเด็กหลอดแก้ว หากไม่เข้าใจควรสอบถามแพทย์เพิ่มเติม แล้วลงนามในหนังสือยินยอมในการทำเด็กหลอดแก้ว

    ขั้นตอนดำเนินการ”ทำเด็กหลอดแก้ว”

          การกระตุ้นไข่ เริ่มจากการพบแพทย์ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน และทำอัลตร้าซาวด์ พร้อมกับรับฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ในวันที่2 หรือ 3 ของรอบเดือน จากนั้นแพทย์จะนัดอัลตร้าซาวด์เพื่อดูการเจริญเติบโตของไข่ และตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน เพื่อพิจารณาปรับยาฮอร์โมน โดยจะใช้เวลาในขั้นตอนนี้ประมาน 8-10วัน
         การเก็บไข่ หลังจากมีการกระตุ้นไข่ด้วยฮอร์โมน จนไข่เจริญเติบโตจนได้ขนาดตามต้องการแพทย์จะทำการเจาะเก็บไข่จากรังไข่ โดยใช้เข็มดูดผ่านทางช่องคลอดและใช้อัลตร้าซาวด์ช่วยบอกทิศทาง แพทย์จะให้ยาระงับความรู้สึกระยะสั้นทางหลอดเลือดหรือวางยาสลบ เพื่อป้องกันความรู้สึกเจ็บปวดระหว่างทำ ใช้เวลาเก็บไข่ ไม่เกิน 20-30 นาที
           การปฏิสนธิฝ่ายชายจะต้องเก็บอสุจิใส่ภาชนะที่แพทย์เตรียมให้ เพื่อนำมาคัดแยก เฉพาะอสุจิที่สมบูรณ์นำมาผสมกับไข่ในห้องทดลอง และตรวจดูการปฏิสนธิต่อไป กรณีที่ฝ่ายชายมีน้ำเชื้อน้อยหรือคุณภาพของอสุจิน้อยกว่ามาตรฐานมาก ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ไข่จะไม่ได้รับการผสม ควรใช้วิธีการคัดเลือกอสุจิ เพียงตัวเดียวฉีดเข้าไปในไข่ โดยไม่ต้องรอให้ปฏิสนธิกันเอง เรียกวิธีนี้ว่า อิ๊กซี่(ICSI,Intracytoplasmic Sperm injection)
        การเพาะเลี้ยงตัวอ่อน เมื่อเกิดการปฏิสนธิจนเป็นตัวอ่อน แล้วจะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการต่อจนเจริญเติบโต แบ่งเซลล์เป็น 6 – 8 เซลล์ ใช้เวลาประมาณ 3 วันหลังปฏิสนธิ และเจริญเติบโตเข้าสู่ระยะบลาสโตซีสต์ ใช้เวลาประมาณ 5 วันหลังปฏิสนธิ
           การย้ายตัวอ่อน คือการนำตัวอ่อน ย้ายเข้าโพรงมดลูกด้วยการใส่เครื่องมือทางช่องคลอด เหมือนกับการตรวจภายใน ขั้นตอนนี้ไม่ต้องให้ยาระงับปวดหรือยานอนหลับ การใส่ตัวอ่อนเข้าโพรงมดลูก อาศัยเครื่องอัลตร้าซาวด์ในการบอกตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะว่างตัวอ่อนในโพรงมดลูก ปกติแล้วเราย้ายตัวอ่อนได้ 2 ระยะคือตัวอ่อนอายุ 3 หรือ 5 วัน นับตั้งแต่ปฏิสนธิโดยปกติแล้วขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
    การปฏิบัติตัวหลังจากนำตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก
    • ให้นอนพักประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แล้วกลับไปพักต่อที่บ้านอีก 12 – 24 ชั่วโมง
    • ทำงานเบาๆได้ แต่ต้องไม่มีการเกร็งหน้าท้อง
    • ควรงดเพศสัมพันธ์ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด
    • แพทย์นัดประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจการตั้งครรภ์
    • ห้ามรับประทานยาอื่นๆ นอกเหนือจากที่แพทย์กำหนด
    • หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด
    ปัจจัยความสำเร็จของการตั้งครรภ์ จากวิธีการ”เด็กหลอดแก้ว”
    • ขึ้นอยู่กับการตอบสนองการกระตุ้นการตกไข่
    • ความแข็งแรงของตัวอ่อน
    • อายุเช่นผู้หญิงอายุเกิน 40 ปี โอกาสรอดชีวิตของตัวอ่อน น้อยกว่าผู้หญิงอายุที่น้อยกว่า
    • ความพร้อมทางด้านร่างกายของฝ่ายหญิง
    • ความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจของคู่สมรส เนื่องจากอาจต้องดำเนินการหลายครั้ง
    • อัตราความสำเร็จของเด็กหลอดแก้วอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ต่อการทำ 1 รอบ

    ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    • การตั้งครรภ์แฝด เนื่องจากมีการใส่ตัวอ่อน 1 – 3 ตัวอ่อนเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
    • รังไข่ตอบสนองฮอร์โมนมากผิดปกติ เนื่องจากรังไข่ได้รับการกระตุ้นเพื่อเพิ่มจำนวนไข่ อาจทำให้มีอาการปวดในท้องเนื่องจากมีน้ำอยึ่ในช่องท้องในปริมาณมาก
    • ภาวะแท้ง
    • การติดเชื้อ
    ในปัจจุบันเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้น้อยลง เนื่องจากแพทย์จะหาปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของผู้รับบริการในแต่ละราย หาแนวทางป้องกัน รวมทั้งให้การรักษาที่เหมาะสม

    การทำเด็กหลอดแก้วและการทำกิ๊ฟท์ ต่างกันอย่างไร

       - กิ๊ฟท์เป็นวิธีดั้งเดิมของการทำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์โดยเป็นการเอาอสุจิและไข่ใส่ไว้ที่ส่วนปลายของท่อนำไข่ เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิภายในร่างกาย ส่วนการทำเด็กหลอดแก้วเป็นกระบวนการของการรักษาในปัจจุบันโดยการนำไข่กับอสุจิผสมกันและทำให้เกิดการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย แล้วเพาะเลี้ยงตัวอ่อนเหล่านั้นประมาน3-5วันก่อนที่จะย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

    ทางเลือกของคู่สมรสที่มีบุตรยาก

      ในปัจจุบันนี้ปัจจัยที่ทำให้แต่ละครอบครัวมีบุตรยาก คือการแต่งงานช้าลงหรือพร้อมที่จะมีลูกเมื่อมีอายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุเกิน 35 ปี กลุ่มนี้จะมีบุตรได้ยากขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างเช่น คุณภาพและปริมาณไข่ในรังไข่ ปัจจัยอื่นๆด้านสุขภาพ ปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่จัด ความเครียด ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณของการมีบุตรยาก
      ภาวะมีบุตรยาก คือการที่คู่สมรสแต่งงานกันมา 1 ปี และมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ 3-4 ครั้ง ต่อสัปดาห์ โดยไม่มีการคุมกำเนิดแล้วไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น แสดงว่ามีปัญหาของการมีบุตรยาก แต่หากคู่สมรสมีความกังวลต้องการจะมีบุตร สามารถปรึกษาแพทย์โดยไม่ต้องรอถึง 1 ปีโดยเฉพาะหญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี และไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปนาน เพราะอายุที่มากขึ้น มีผลต่ออัตราความสำเร็จ ควรมาพบแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับคำว่า ครอบครัวด้วย “ลูกน้อยน่ารักของคุณ”