แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไมเกรน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ไมเกรน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไมเกรน เป็นไม่หาย

ปวดศรีษะไมเกรน

 ปวดศรีษะไมเกรน

โรคปวดศรีษะไมเกรน เป็นโรคศรีษะเรื้อรังที่พบได้บ่อย โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศรีษะที่ค่อนข้างรุนแรง มักมีอาการคลื่นใส้อาเจียนร่วมด้วย โดยอาการปวดศรีษะอาจโดนกระตุ้นด้วยปัจจัยหลายอย่างเช่น แสงจ้า เสียงดังเป็นต้น โรคปวดศรีษไมเกรน หากได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างมาก

สาเหตุ

สาเหตุการปวดศรีษะแบบไมเกรนนั้นยังไม่ทราบชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเชื่อว่า เกิดจากเซลล์สมอง และหลอดเลือดมีภาวะไวต่อตัวกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่ผิดปรกติในสมอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทและหลอดเลือดในสมอง ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้เกิดการเปลื่ยนแปลงในระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไวต่อตัวกระตุ้นง่ายขึ้น และการรักษาจะยากขึ้นด้วย

อาการ

ผู้ป่วยไมเกรน มักมีอาการปวดหัวปานกลาง ถึงรุนแรง อาการมักกำเริบเป็นระยะ โดยมักจะเป็นข้างเดียว ปวดแบบตุ๊บตุ๊บ บริเวณขมับ หรือต้นคอ อาการปวดศรีษะมักจะยาวนาน 4 ถึง 72 ชั่วโมง โดยอาการปวดหัวจะแย่ลงเมื่อมีการขยับศรีษะ ไอจาม และดีขึ้นถ้าผู้ป่วยอยู่ในที่เงียบและมืด หรือได้รับการพักผ่อน

ในผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการนำก่อนอาการปวดศรีษะ เช่น อาจมีการมองเห็นที่ผิดปรกติ มองไม่ชัด มองเห็นแสงแบบซิกแซกโดยจะขยายขึ้นเรื่อยเรื่อย อาจมีอาการชามือหรือชาหน้า ได้ อาการนำมักเกิดก่อนมีอาการปวดศรีษะประมาณ 30 นาที โดยส่วนมากระยะเวลาที่เป็นไม่เกิน 20 นาที

ตัวกระตุ้น

 ปวดศรีษะไมเกรน

อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าผู้ป่วยไมเกรนมักมีภาวะไวต่อสิ่งกระตุ้น ดังนั้นการเลื่ยงสิ่งกระตุ้นเป็นสิ่งจำเป็น ตัวกระตุ้นที่พบได้บ่อยเช่น แสงจ้า เสียงดัง สภาพอากาศเป็นแปลง การมีประจำเดือน การกินอาหารไม่ตรงเวลาหรือการอดอาหาร ภาวะความเครียด ผงชูรส การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะอ้วน เป็นต้น

โรคปวดศรีษะไมเกรนนั้น หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง หรือกินยาแก้ปวดมากเกินไป อาจทำให้อาการปวดศรีษะ รุนแรงมากขึ้น หรือความถี่ของการปวดมากขึ้น ได้

การรักษา

การรักษาไมเกรนมีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะความรุนแรงของอาการ โดยการรักษาทีหลักคือ การบรรเทาอาการช่วงปวดศีรษะ และการป้องกัน ซึ่ง หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงมาก หรือเป็นบ่อย ผู้ป่วยอาจมีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาป้องกัน เพราะการที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดบ่อยครั้ง อาจส่งผลให้ทั้งอาการปวดรุนแรงขึ้น รวมถึงความถี่ของการปวดมากขึ้นด้วย ส่วนการรักษาวิธีอื่นก้อสามารถทำได้ เช่น การฉีดยาระงับการทำงานของเส้นประสาทเฉพาะที่ การฉีดโบทอก การนวดกดจุด เป็นต้น

 ปวดศรีษะไมเกรน

วิธีการปฎิบัติตัวช่วงปวดศีรษะไมเกรน

ช่วงที่มีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยควรรับประทานยาแก้ปวดทันที เพราะหากปล่อยไว้นานอาจทำให้ การออกฤทธิ์ของยาไม่ดีเท่าที่ควร ผู้ป่วยควรรีบพักผ่อน และอยู่ในที่มืด หลีกเลื่ยงตัวกระตุ้นต่างต่างที่อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หากไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์

ข้อควรปฎิบัติสำหรับผู้ป่วยไมเกรน

ควรสังเกตและหลีกเลื่ยงตัวกระตุ้นที่อาจก่อให้เกิดปวดศีรษะไมเกรน
ควรหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
หลีกเลื่ยงอาหารที่กระตุ้นการปวดศีรษะ ทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรทานอาหารมาก หรือน้อยเกินไป
ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างน้อย1 ชั่วโมง 5 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถทำให้อาการปวดศีรษะไมเกรนดีขึ้นได้

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ไมเกรน ปวดศรีษะไมเกรน คุณภาพชีวิตลง

..ไมเกรน คืออะไร อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาโรคไมเกรน.....

ไมเกรน (Migraine) หรือโรคไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะข้างเดียว เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากสมอง ศีรษะ และเส้นเลือดรอบๆ สมองของเรา เมื่อมีสิ่งเข้าไปกระตุ้นก็จะทำให้สมองเกิดภาวะตอบสนองไวกว่าปกติโดยเกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีเข้าไปกระตุ้นรบกวนเส้นประสาททำให้หลอดเลือดในสมองเกิดการขยายตัวและก่อให้เกิดไมเกรนในที่สุด

อาการของไมเกรน
- จะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยปวดศีรษะแบบตุ๊บๆ บริเวณขมับข้างเดียวนานราว 4 – 72 ชั่วโมง มีน้อยรายที่จะปวดทั้งสองข้างพร้อมกัน
- อาจปวดบริเวณเบ้าตา
- อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายจะยิ่งทำให้มีอาการปวดศีรษะมากขึ้น
- เมื่อเกิดเสียงดังหรือมีแสงจ้าก็ทำให้ปวดศีรษะ
- อาจมีอาการนำ Aura ที่เห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว

โรคปวดศรีษะไมเกรน เป็นโรคศรีษะเรื้อรังที่พบได้บ่อย โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศรีษะที่ค่อนข้างรุนแรง มักมีอาการคลื่นใส้อาเจียนร่วมด้วย โดยอาการปวดศรีษะอาจโดนกระตุ้นด้วยปัจจัยหลายอย่างเช่น แสงจ้า เสียงดังเป็นต้น โรคปวดศรีษไมเกรน หากได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างมาก

สาเหตุ

สาเหตุการปวดศรีษะแบบไมเกรนนั้นยังไม่ทราบชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเชื่อว่า เกิดจากเซลล์สมอง และหลอดเลือดมีภาวะไวต่อตัวกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่ผิดปรกติในสมอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทและหลอดเลือดในสมอง ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องและทันท่วงที อาจทำให้เกิดการเปลื่ยนแปลงในระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไวต่อตัวกระตุ้นง่ายขึ้น และการรักษาจะยากขึ้นด้วย

อาการ

ผู้ป่วยไมเกรน มักมีอาการปวดหัวปานกลาง ถึงรุนแรง อาการมักกำเริบเป็นระยะ โดยมักจะเป็นข้างเดียว ปวดแบบตุ๊บตุ๊บ บริเวณขมับ หรือต้นคอ อาการปวดศรีษะมักจะยาวนาน 4 ถึง 72 ชั่วโมง โดยอาการปวดหัวจะแย่ลงเมื่อมีการขยับศรีษะ ไอจาม และดีขึ้นถ้าผู้ป่วยอยู่ในที่เงียบและมืด หรือได้รับการพักผ่อน
ในผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการนำก่อนอาการปวดศรีษะ เช่น อาจมีการมองเห็นที่ผิดปรกติ มองไม่ชัด มองเห็นแสงแบบซิกแซกโดยจะขยายขึ้นเรื่อยเรื่อย อาจมีอาการชามือหรือชาหน้า ได้ อาการนำมักเกิดก่อนมีอาการปวดศรีษะประมาณ 30 นาที โดยส่วนมากระยะเวลาที่เป็นไม่เกิน 20 นาที

ตัวกระตุ้น

 ปวดศรีษะไมเกรน
อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าผู้ป่วยไมเกรนมักมีภาวะไวต่อสิ่งกระตุ้น ดังนั้นการเลื่ยงสิ่งกระตุ้นเป็นสิ่งจำเป็น ตัวกระตุ้นที่พบได้บ่อยเช่น แสงจ้า เสียงดัง สภาพอากาศเป็นแปลง การมีประจำเดือน การกินอาหารไม่ตรงเวลาหรือการอดอาหาร ภาวะความเครียด ผงชูรส การพักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะอ้วน เป็นต้น
โรคปวดศรีษะไมเกรนนั้น หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง หรือกินยาแก้ปวดมากเกินไป อาจทำให้อาการปวดศรีษะ รุนแรงมากขึ้น หรือความถี่ของการปวดมากขึ้น ได้


สาเหตุของการเกิดไมเกรน
ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะข้างเดียวที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบน้อยในผู้สูงอายุ ซึ่งโดยมากมักพบในช่วงอายุระหว่าง 10 – 40 ปี และมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย (อัตราเฉลี่ย 1 : 10) โดยสาเหตุของไมเกรนนั้นยังไม่มีการระบุแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่มีการสันนิษฐานกันว่าน่าจะเกิดจากพันธุกรรมเป็นหลัก ร่วมด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่ทำให้เกิดความเครียด หรือการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล่านี้ก็เป็นตัวกระตุ้นทำให้หลอดเลือดแดงในสมองเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้ปวดศีรษะ

การรักษาไมเกรนด้วยยาและการป้องกันอาการไมเกรน

หากมีอาการไม่มากก็สามารถรับประทานพวกยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่หากมีอาการมากเป็นบ่อยก็ควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์มักจะให้ยาในกลุ่ม Beta blockers, Antidepressants, Calcium Channel blocker ตลอดจนยา Sumatriptan ซึ่งเป็นยาสำหรับอาการไมเกรนโดยเฉพาะ และจะให้ยาแก้ปวด และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

นอกจากนี้การรับประทานอาหารเสริมก็เป็นการช่วยลดหรือบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้ อย่างเช่น วิตามินบี, แคลเซียม, แมกนีเซียม, Feverfew หรือ 5-hydroxytryptophan (5-HTP) เหล่านี้ก็สามารถช่วยเพิ่มระดับเซอโรโตนินในสมองของเรา เป็นการบำรุงเส้นเลือดให้แข็งแรง และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผลดี

โดยในเบื้องต้นเมื่อเกิดไมเกรนอาจบรรเทาอาการด้วยตนเองอย่างง่ายๆ ก่อน เช่น ใช้น้ำแข็งประคบที่ศีรษะเป็นการช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลง หรือนอนพักผ่อนในห้องนอนที่สงบเงียบ พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ควรเปิดไฟเวลานอน หรือการนวดด้วยอโรมาก็ช่วยให้สมองผ่อนคลายได้ งดอาหารประเภทผงชูรส พิซซ่า กาแฟ เนย ช็อกโกแลต เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล่านี้เป็นต้น นอกจากนี้ควรออกกำลังกาย และรับประทานอาหารจำพวกปลามากๆ ก็จะเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคไมเกรนได้

ดังนั้นเราควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพกันให้มากๆ โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ไม่โกรธหรือโมโหง่าย เพียงเท่านี้เราก็ห่างไกลจากไมเกรนแล้ว…

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อยู่ๆก็ปวดศีรษะ ปวดหัวข้างเดียว เป็นไมเกรน( migrain) หรือเปล่านะ

ไมเกรน (Migraine)

เส้นทางแห่งความปวด
ด้วยเทคโนโลยีการสร้างภาพทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเห็นภาพของสมองคนเป็นๆ ขณะเกิดไมเกรนได้ แม้ว่าจะยังไม่ทราบรายละเอียดทุกแง่มุม แต่ข้อมูลเท่าที่มีก็ทำให้เราเข้าใจกระบวนการเกิดไมเกรนได้กระจ่างแล้ว
1. สิ่งกระตุ้น
กระตุ้นที่อาจเป็นอะไรก็ได้สามารถกระตุ้นกระบวนการเกิดไมเกรนได้ แต่ในคนส่วนใหญ่แล้ว ตัวกระตุ้นอาจจะมาในรูปแบบของการผสมผสานของปัจจัยหลายอย่างค่อย ๆ สะสมผ่านกาลเวลาจนกลายเป็นตัวกระตุ้นเฉพาะบุคคล ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยจากภายใน เช่น ฮอร์โมน ความเคียด อดนอน หรือ เป็นปัจจัยจากภายนอก เช่น อากาศเปลี่ยน แพ้อาหาร เป็นต้น

2. ศูนย์ควบคุม 
ตัวกระตุ้นไมเกรนจะมุ่งหน้าไปรวมกันที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ควบคุมการนอนหลับ และความหิว อาการพ่วงของไมเกรน เช่น อาการคลื่นเหียน อาเจียน นั้นเป็นผลมาจากสัญญาณที่ส่งจากไฮโปทาลามัสไปยังระบบประสาทที่เป็นต้นกำเนิดไมเกรน

3. ต้นกำเนิดไมเกรน
ไฮโปทาลามัสจะส่งสัญญาณไปยังก้านสมองส่วนบนที่เป็นที่อยู่ของระบบประสาท trigeminal ระบบประสาทนี้เป็นโครงข่ายใยประสาทขนาดใหญ่ ที่มีกิ่งก้านสาขาครอบคลุมไปทั่วทั้งสมอง ไม่ผิดอะไรกับหมวกนิรภัย เมื่อระบบประสาทนี้ถูกกระตุ้น กระบวนการไมเกรนก็เริ่มต้น

4. ปวดหัว 
อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะหลอดเลือดที่เยี่อหุ้มสมองส่วนนอกขยายตัวออก และเส้นประสาทที่อยู่บริเวณเดียวกันก็รับสัญญาณความเจ็บปวดไป เมื่อเส้นประสาทถูกกระตุ้น มันก็จะหลั่งสารที่กระตุ้นให้ตัวรับสัญญาณคามเจ็บปวดทำงาน และทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้นอีก
ออรา
ในผู้ป่วยบางราย ระบบประสาทเกี่ยวกับการมองเห็น และระบบรับสัญญาณความรู้สึกอื่น ๆ จะก่อสัญญาณไฟฟ้าแล่นเป็นคลื่นไปทั่วสมอง ยอดคลื่นนี้ไปบิดเบือนสัญญาณที่ส่งไปยังประสาทการมองเห็น ผลที่ได้ก็คือ ผู้ป่วยหลายรายเห็นภาพแสงสว่างเป็นแฉกวาบขึ้นมาก่อนที่อาการปวดจะเกิดขึ้น
Migraine
ไมเกรนมาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีกโบราณ “Hemicrania” แปลว่า ปวดศีรษะครึ่งซีกนั่นเอง 

ปวดแบบไหนจึงจะเรียกว่าปวดศีรษะไมเกรน?

อาการปวดศีรษะไมเกรนตามเกณฑ์ของ International Headache Society (1988) ได้แก่ มีอาการปวดศีรษะนาน 4-72 ชม. หากไม่ได้รักษา หรือ นอนหลับ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน และทนต่อแสงจ้า หรือ เสียงดังไม่ได้ อาการปวดมีลักษณะอย่างน้อย 2 ข้อดังต่อไปนี้
• ปวดตุ้บๆ
• ปวดซีกเดียวบริเวณขมับหรือท้ายทอย
• ปวดปานกลางไปจนถึงทำงานไม่ไหว
• กิจกรรมทั่วไป เช่น การเดิน ขยับศีรษะทำให้ปวดไมเกรนมากขึ้น
บางรายจะมีอาการนำ (aura) ซึ่งเกิดก่อนหรือพร้อมกันกับไมเกรนได้ สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด สมมุติฐานว่าอาจจะเกิดจากการแพร่กระจายของคลื่นจากก้านสมองไปยังสมองใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นอาการทางตา เช่น มีแสงซิกแซก หรือแสงหิ่งห้อย ประมาณ 10 นาที ก่อนจะปวดศีรษะตาม
ถ้าปวดศีรษะไมเกรนบ่อย ๆ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?

ข้อแรก คือ ต้องสังเกตว่ามีตัวกระตุ้นอะไรบ้างที่ทำให้ปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่ การอดนอน หรือ นอนมากเกินไป (เช่น ปวดไมเกรน ในเช้าวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์) , ตากแดด, หรือ มองแสงจ้านานๆ โดยเฉพาะการขับรถทางไกล, อากาศร้อน, เหนื่อยมาก, การอดอาหาร, อาหารบางชนิดเช่น ไส้กรอก (มีดินประสิว –nitrate), ไวน์ อาหารจีน ซึ่งมีผงชูรสปริมาณมาก, ในผู้หญิงมักจะปวดก่อน หรือ ขณะมีประจำเดือน 2-3 วันแรก (อธิบายจากระดับฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงไป) เมื่อทราบปัจจัยที่กระตุ้นให้ปวดแล้วการหลีกเลี่ยงจะช่วยทำให้ลดความถี่ในการปวดได้มาก การพักผ่อนและรับประทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เหนื่อยเกินไป

ข้อต่อมา เมื่อเริ่มมีอาการปวดไมเกรน ควรหยุดพักในห้องที่มืดอากาศเย็นและเงียบสงบ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 10-20 นาที ควรรับประทานยาแก้ปวด ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพยายามไม่ทานยา เพราะเกรงว่าจะทานยามากไป ซึ่งเมื่ออาการปวดมากขึ้น ยาแก้ปวดธรรมดาจะคุมไมเกรนไม่ได้ และต้องมา รพ.ในท้ายสุด ดังนั้น การทานยา แต่แรกจะช่วยลดการใช้ยาปริมาณมากในภายหลัง ยาที่ควรใช้ได้แก่ ยาแก้อาเจียน (motilium, plasi) ยาแก้ปวดกลุ่มพารา หรือ NSAID (ponstan, brufen) และยาไมเกรน โดยตรง (cafergot, sumatriptans**ยากลุ่มใหม่ที่ได้ผลดีมาก) ผลข้างเคียงอาจจะมีอาการใจสั่น ตัวชา คล้ายกับทานกาแฟ หรือมีปวดตามกล้ามเนื้อมากในบางราย

ข้อสุดท้าย ถ้ามีอาการมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน หรือ ต้องหยุดงาน/ขาดเรียน จากไมเกรน ควรทานยาป้องกัน ซึ่งจะช่วยลดความไวของหลอดเลือด ยาในกลุ่มนี้ได้ B-Blocker (propanolol), sibelium, tryptanol การจดบันทึก (migraine diary) ช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์ทราบถึงอาการปวด, ตัวกระตุ้น, การตอบสนองต่อยา และวางแผนการรักษาร่วมกันได้ดีขึ้น

ที่มา: 
http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/5/87/th